วันเสาร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2560

ชนิดของดอกบัว.

ชนิดของดอกบัว

บัวหลวง

บัวหลวง (The Sacred Lotus)
          บัวหลวงเป็นพืชน้ำที่มีความสำคัญยิ่ง โดยถือว่าเป็นราชินีแห่งพื้นน้ำที่มีความงามและประโยชน์นานัปการ นอกจากความสำคัญูทางพฤกษชาติแล้ว บัวหลวงยังมีความสำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา ทั้งสัญลักษณ์และอามิสบูชา
          ในทางแห่งพระพุทธศาสนา ดอกบัวหลวงมีความสำคัญเกี่ยวข้องอยู่หลายประการกว่า ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบปัญญาขาแห่งบุคคลที่สามารถรู้และเข้าใจธรรมะ เพื่อความหลุดพ้น ๔ จำพวกด้วยกัน ดอกบัว ๔ เหล่านี้เปรียบได้กับดอกบัวที่ตั้งพ้นน้ำ รอสัมผัสแสงอาทิตย์ก็จะบานในวันนี้ คือผู้รู้เข้าใจธรรมะได้ฉับพลันตั้งแต่ท่านยกหัวข้อขึ้นแสดง ดอกบัวประเภทที่ ๒ ดั่งดอกบัวที่ตั้งอยู่เสมอน้ำ จักบานในวันรุ่งขึ้น เฉกผู้รู้เข้าใจต่อเมื่อท่านได้ขยายความแห่งธรรมะนั้น ประเภทต่อมาคือดอกบัวที่ยังอยู่ในน้ำยังไม่โผล่พ้นน้ำ จักบานในวันด่อ ๆ ไป คือผู้ที่พอจะแนะนำต่อไปได้เพื่อเข้าใจในธรรมะ ประเภทสุดท้ายคีอ ดอกบัวที่จมอยู่ในน้ำ กลายเป็นภักษาหารแห่งปลาและเต่าคือผู้ที่ได้แค่ตัวบทหรีอถ้อยคำเท่านั้น ไม่อาจจะเข้าใจความหมายรู้ในธรรมะได้ 
          ดอกบัวหลวง สำหรับชาวพุทธถือว่ามีความสำคัญที่เป็นอามิสบูชา เกี่ยวข้องโดยตรงสำหรับการบูชาพระรัตนตรัย อันได้แก่พระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ 
          บัวหลวงจึงมีความสาคัญในแง่ของพืชพันธุ์ธัญญาหาร และความรู้สึกทางจิตใจของมนุษย์มาช้านาน
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
          บัวหลวง เป็นพืชในวงศ์ Nymphaeaceae อยู่ในสกุล Nelumbo เป็นไม้น้ำและไม้ล้มลุกหลายฤดู มีถิ่นกำเนิดแถบเอเชีย มีเหง้าและไหลอยู่ใต้ดิน ผังตัวอยู่ในโคลนเลน ใบเดี่ยวมีลักษณะกลมใหญ่สีเขียวอมเทา  ใบอ่อนจะลอยปิ่มน้ำ ส่วนใบแก่จะชูพ้นน้ำ แผ่นใบเกือบกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 20-50 ซม. ก้านใบแข็ง มีหนามเล็ก ๆ เมื่อหักเป็นสายใยและมีน้ำยางขาว ดอกเป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ มีสีขาวและสีชมพู มีทั้งดอกป้อมและดอกแหลม ก้านดอกแข็งมีหนามเล็ก ๆ ชูเหนือน้ำ กลีบดอกจำนวนมาก เรียงซ้อนกันหลายชั้น ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เมื่อดอกบานเส้นผ่านศูนย์กลาง 15-25 ซม. ดอกมีหลายรูปทรงและมีหลายสี เช่น สีขาว สีชมพู แล้วแต่พันธุ์
พันธุ์บัวหลวง
          บัวหลวงในประเทศไทยสามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ
          1. บัวหลวงสีขาว มี 2 พันธุ์ คือ 
          - พันธุ์ Hindu lotus ดอกมีขนาดใหญ่ ดอกตูมเป็นรูปไข่ ปลายเรียว กลีบดอกชั้นเดียว ได้แก่ บุณฑริก ปุณฑริก บัวหลวงขาว บัวแหลมขาว 
          - พันธุ์ Magnolia lotus ดอกมีขนาดใหญ่ ดอกตูมทรงป้อม กลีบดแอกซ้อนกันแน่น ได้แก่ สัตตบุษย์ บัวฉัตรขาว บัวป้อมขาว บัวหลวงขาวซ้อน 
          2. บัวหลวงพันธ์สีชมพู มี 3 พันธุ์ คือ
          - พันธุ์ EastIndian Lotus ดอกมีขนาดใหญ่ ดอกตูมรูปไข่ ปลายเรียว กลีบดอกชั้นเดียว ได้แก่ ปทุม ปัทมา โกกระณต บัวหลวงชมพู บัวแหลมแดง
          - พันธุ์ Roseum Plenum ดอกมีขนาดใหญ่ ดอกตูทรงป้อม กลีบดอกซ้อนกันแน่น ได้แก่ สัตตบงกต บัวหลวงป้อมแดง บัวฉัตรแดง
          - พันธุ์บัวเข็มชมพู ดอกมีขนาดเล็ก ดอกตูมเรียวเป็นรูปไข่ กลีบดอกชั้นเดียว  ได้แก่ บัวปักกิ่งชมพู บัวไต้หวัน บัวหลวงจีนชมพู
คุณค่าจากส่วนต่างๆ ของบัวหลวง
          บัวหลวง นอกจากดอกที่สามารถผลิตเพื่อการค้าได้แล้ว ส่วนต่างๆของบัวหลวงก็มีคุณค่าในเรื่องของการประกอบอาหาร และในเรื่องของการนำมาใช้เป็นยา ทางด้านเภสัชวิทยาพบว่า มีสารที่เป็นตัวยาสำคัญๆ เช่น สาร nuciferine มีฤทธิ์กดประสาท  ต้านการอักเสบ ลดไข้ แก้ไอ และมีผลในการยับยั้งการหลั่งสาร serotonin  โดยพบว่า 
          1. ดีบัว มีฤทธิ์เพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ และเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ 
          2. ฝักบัว ฝักบัวประกอบด้วยสารกลุ่มแอลคาลอย 4 ชนิด ได้แก่ สาร nuciferine , N-nornuciferine liriodenine และ N-noramepavine และสารกลุ่มพาโวนอยด์ คือ quercitin ซึ่งมีฤทธิ์ในการห้ามเลือดได้เนื่องจากมีสาร quercitin
          3. เมล็ดบัว ใช้บำรุงร่างกาย แก้ไข้ซึ่งมีสารสกัดแอลกอฮอล์ต้านอนุมูลอิสระ สารสกัด  แอลกอฮอล์มีฤทธิ์ต้านความเป็นพิษของตับได้ในขนาด 300 mg/Kg  
          4. เกสรบัว เกสรบัวมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย สารสกัดจากน้ำของเกสรมีฤทธิ์ที่ต้านเชื้อก่อให้เกิดฝีหนอง เชื้อที่ก่อให้เกิดโรคท้องร่วง และสารสกัดแอลกอฮอลืมีฤทธิ์ต้านเชื้อ B-steptococcus group A มีฤทธิ์ต้านเชื้อราและยีสต์ 
          5. ใบบัว มีฤทธิ์ในการลดคลอเรสเตอรอล สารสกัดแอลกอฮอล์จากใบแห้งมีผลป้องกันไม่ให้ระดับคลอเรสเตอรอลในเลือดสูง และสาร nuciferine มีฤทธิ์ในการกดประสาทต้านการอักเสบ ลดไข้ แก้ไอ มีผลยับยั้งการหลั่งสาร sertonin
          6. ก้านบัว เป็นสารสกัดแอลกอฮอล์จากก้านดอกในขนาด 200 และ 400 mg/kg มีฤทธิ์ลดไข้ในหนุทดลองปกติได้นาน 3 และ 6 ชั่วโมง ตามลำดับ และในหนูที่ทำให้เป็นไข้ด้วยยีสต์ได้นาน 4 ชั่วโมง โดยเปรียบเทียบกับยาพาราเซตามอล 
          7. รากบัว สามารถแก้อาการท้องเสีย สารสกัดจากเหง้าสามารถลดปริมาณของอุจจาระและการบีบตัวของลำไส้ ลดน้ำตาลในเลือด สารสกัดแอลกอฮอล์จากเหง้ามีฤทธิ์ลด  น้ำตาลในเลือด ฤทธิ์ต้านการอักเสบ สารสกัดจากแอลกอฮอล์และสาร betulinic acid สกัดได้จากส่วนของเหง้ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้เทียบเท่ายามาตรฐาน phenylbutazzone และ dexamethasone สารสกัดแอลกอฮอล์จากเหง้ามีผลต่อระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว และมีฤทธิ์เป็นยานอนหลับ ลดไข้ ลดอาการเกร็งของลำไส้เล็ก 
          บัวหลวงนับเป็นพันธุ์ไม้น้ำอีกชนิดหนึ่งที่มีคุณค่า ที่มีประโยชน์ในด้านของปัจจัย 4 ที่มนุษย์ทุกคนสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมาย ทั้งในด้านการบริโภคโดยตรง หรือการนำมาใช้ในส่วนประกอบของยา ในการรักษาโรคต่างๆได้เป็นอย่างดี ซึ่งหากคนไทยมองเห็นความสำคัญและสามารถปรับปรุงพันธ์ของบัวหลวงให้มีความพิเศษในด้านการสกัดสารมาใช้ประโยชน์ บัวหลวง ก็น่าจะเป็นพืชที่มีคุณค่าแก่วงการแพทย์ได้เป็นอย่างดี

           บัวจงกลนี 
ชื่อวิทยาศาสตร์:  Nymphaea lotus Linn.
ชื่อวงศ์:  Nymphaeaceae
ชื่อสามัญ:  Pink Double Wit Frilled Petals
ลักษณะทั่วไป:
    ต้น  เหมือนบัวทุกชนิดรวมกัน พืชน้ำ รากฝังโคลนเลน ก้านดอกอ่อนมีเปลือกลอกออกได้เป็นสายใย ผิวเกลี้ยงไม่มีหนาม
    ใบ  ใบลอยอยู่บนผิวน้ำ ขอบใบจักถี่ ห่าง ไม่มีระเบียบ ใบเหมือนบัวสาย
    ดอก  ดอกชูพ้นน้ำ บานกลางวัน กลีบดอกเล็กเรียว ซ้อนมาก ดอกลอยบานตลอดเวลา มีพันธุ์เดียว ดอกมีสีชมพูแล้วเปลี่ยนเป็นสีขาวและมีสีเขียวสลับเมื่อใกล้โรย
    ฝัก/ผล  เม็ด
    เมล็ด  สีดำอยู่ในเนื้อหุ้ม มีลักษณะเป็นวุ้นใส
การขยายพันธุ์:  เพาะเมล็ด หัว(เหง้า)ใต้ดิน
ถิ่นกำเนิด:  ไทย
ส่วนที่ใช้บริโภค:  ก้านใบลอกผิวที่หุ้ม ใช้รับประทานเป็นอาหาร
สรรพคุณทางยา: 
    –    ดอกบำรุงหัวใจ ทำให้สดชื่น บำรุงกำลัง แก้ร้อนใน เมล็ดบำรุงกำลัง
    –    หัว บำรุงครรภ์ บำรุงธาตุ
*บัวไทยแท้ตั้งแต่สมัยสุโขทัย มีที่ประเทศไทยแห่งเดียวในโลก


     บัววิกตอเรีย  
 เป็นบัวมีใบใหญ่มาก ลักษณะกลม มีขอบยกสูงขึ้นมาคล้ายกระด้ง จึงเรียกว่า บัวกระด้ง ก้านใบมีหนามแหลม เป็นไม้ถิ่นเดิมในอเมริกาใต้ ได้มีการนำบัวพันธุ์นี้ไปเพาะบนเกาะอังกฤษได้สำเร็จ ดอกบัวดอกแรกที่ผลิบานได้ส่งไปถวายสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย เพราะทรงอนุญาตให้นำพระนามาภิไธยมาขนานนามบัวชนิดนี้ มีผู้นำเข้ามาปลูกเป็นไม้ประดับในเมืองไทยนานแล้ว
บัววิกตอเรีย   อีกชนิดหนึ่งคือ Victoria cruziana Orbigny เป็นพันธุ์ที่นำเข้ามาใหม่ต่างกับชนิดที่กล่าวมาแล้วตรงดอกสีขาว แต่เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มในวันที่ 2 และกลีบดอกชั้นนอกมีหนามแหลมเฉพาะตรงโคนกลีบ และขอบใบสูงกว่า
ลักษณะ   :    บัววิกตอเรีย (Victoria waterlily) เป็นบัวในสกุล Victoriaมีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า บัวกระด้ง จัดเป็นบัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีลำต้นใต้ดินเป็นหัวใหญ่ ใบเป็นใบเดี่ยวมีขนาดใหญ่ประมาณ 6 ฟุต ลอยบนผิวน้ำ ใบอ่อนมีสีแดงคล้ำเมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม ขอบใบยกขึ้นตั้งตรง มีหนามแหลมตามก้านใบและผิวใบด้านล่าง ก้านดอกและกลีบเลี้ยงด้านนอกมีหนามแหลม ดอกเป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ ดอกแรกบานจะมีสีขาว จากนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีขาวอมชมพู และเป็นสีแดงเรื่อในที่สุด บานเวลาใกล้ค่ำ หรือกลางคืน มีกลิ่นหอม และจะหุบในตอนสายของวันรุ่งขึ้น
บัววิกตอเรีย    อมาโซนิกา เป็นสายพันธุ์หนึ่งของ บัววิกตอเรีย ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 3 เมตร ก้านบัวยาว 7-8 เมตร พบอยู่ทั่วไปตามหนองน้ำตื้นๆ ของแม่น้ำอะเมซอน วันที่ออกดอกวันแรกจะมีสีขาว แต่พอเข้าวันที่สองจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู
ใบ    :   ใบเดี่ยวออกสลับถี่ลอยอยู่บนผิวน้ำ เรียงเป็นวง แผ่นใบกลมใหญ่กว้างประมาณ 1.5 เมตร ด้านบนเป็นมันสีเขียวเข้ม ด้านล่างสีเขียวปนม่วงแดง มีขนเส้นใบใหญ่นูน ก้านใบมีหนามแหลม ขอบใบยกขึ้นคล้ายขอบกระด้ง
ดอก   :   ดอกเดี่ยว ใหญ่ หอมมาก แรกบานสีขาวแล้วเปลี่ยนเป็นสีชมพู ชมพูเข้มและม่วงตามลำดับ ดอกบานเหนือน้ำเล็กน้อย กลีบดอกชั้นนอกสีเขียว หนามแหลมจำนวนมากเรียงซ้อนกันหลายชั้น เมื่อบานเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 25 ซม. ผลค่อนข้างกลม เปลือกหนา มีหนาม เมล็ดใหญ่จำนวนมาก ออกดอกตลอดปี บานตอนเย็น- กลางคืน หุบตอนเช้า
 การค้นพบ    :     ถิ่นกำเนิดในเขตร้อน ถ้าปลูกในเขตอบอุ่นหรือเขตหนาวจะมีอายุไม่เกิน 1 ปี และตายเมื่อเข้าฤดูหนาวและน้ำเป็นน้ำแข็ง
การขยายพันธุ์      โดยไหลซึ่งแตกจากเหง้าใต้ดิน ปลูกลงในบ่อในโคลนเลนโดยตรง หรือ ปลูกในกระถางทรงแบนให้ตั้งตัวก่อน แล้วนำไปวางในโคลนเลนให้แตกไหลออกมาและเจริญต่อไป บัววิกตอเรียเป็นบัวที่มีความทนทานปลูกเลี้ยงง่ายสามารถทนแดดทนฝนได้ดี เหมาะที่จะปลูกในบ่อกว้าง ๆ และไม่มีวัชพืชหรือพรรณไม้อื่นขึ้นปะปน

ประโยชน์   :     ใช้ปลูกประดับในสระน้ำ ใช้ปรุงเป็นยาหอม บำรุงหัวใจ บำรุงประสาท ดีบัวช่วยขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ เมล็ดบัวใช้ทำอาหารคาว หวาน กลีบดอกใช้มวนบุหรี่ ใบอ่อนเป็นผักจิ้ม ใบแก่ใช้ห่อของแทนใบตอง
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ นางกวักชมพู

บัวนางกวักชมพูใบลาย 
ดอกบัวสีชมพู กลีบดอกนอกสุดเหมือนเป็นใบสีเขียวรอบดอกบัวอีกชั้นหนึ่ง ใบลาย ต้นนี้คือ บัวนางกวักชมพูใบลาย

ชื่อวิทยาศาสตร์: Nymphaea Nangkwaug Chompoo Bilay 
ชื่อสามัญ: Nangkwaug Chompoo Bilay 
ชื่อไทย: นางกวักชมพูใบลาย 
ถิ่นกำเนิด: ประเทศไทย

ลักษณะทั่วไปของบัวนางกวักชมพูใบลาย (จัดเป็นบัวผัน)

ใบของบัวนางกวักชมพูใบลาย
ใบรูปไข่ ขอบใบหยักไม่เป็นระเบียบ ปลายใบมน หูใบเปิด 
ใบอ่อน : ด้านบนสีเขียวมีลายพรางสีนํ้าตาล ด้านล่างใบสีเขียวมีจุดกระสีนํ้าตาลกระจาย 
ใบแก่ : ด้านบนสีเขียว ลายพรางสีนํ้าตาลจางลง ด้านล่างใบสีเขียว มีจุดกระสีนํ้าตาล ก้านใบ – ก้านดอก 
ก้านใบ : สีเขียว 
ก้านดอก : สีเขียว 

ดอกของบัวนางกวักชมพูใบลาย
ดอกตูม : ทรงดอกโคนกว้างปลายเรียว กลีบเลี้ยงสีเขียว มีลายสีนํ้าตาล หรือสีออกแดง
ดอกบาน : ลักษณะทรงถ้วย เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-10 เซนติเมตร กลีบดอกซ้อนกันน้อยชั้น กลีบเลี้ยงด้านนอกและด้านในสีเขียว ยาวเหมือนกว่ากลีบดอกด้านในที่เป็นสีชมพู ส่วนตัวกลีบด้านในมีสีชมพูอ่อนไล่สีไปจนถึงสีชมพูเข้ม เกสรเพศเมียสีเหลือง ก้านเกสรเพศผู้สีเหลือง อับละอองเรณูสีชมพู ดอกบานประมาณ 3 วัน เวลาที่บานจะเป็นช่วงเช้าถึงเย็น หรือช่วงที่เจอแสงแดดนั่นเอง บัวนางกวักชมพูใบลายนั้นออกดอกดก ดอกมีหลายชุด 

บัวนางกวักชมพูใบลายนั้นคนไทยถือเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง คือกวักโชคลาภ กวักเงินกวักทอง นิยมปลูกโดยทั่วไป และยังเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย บัวนางกวักชมพูใบลายนั้นบางเว็บไซต์ว่ามีถิ่นกำเนิดที่ประเทศอินเดียนะครับ แต่ข้อมูลที่นำมาเสนอข้างต้นได้เลือกมาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือมากที่สุดนั่นคือ เว็บไซต์ของ พิพิธภัณฑ์บัวมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี ครับ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดของบัวสายพันธุ์อื่นๆได้ที่นี่ครับ http://www.lotus.rmutt.ac.th 



บัวเผื่อน
arrow1.gif (56 bytes) ชื่อวิทยาศาสตร์ : Nymphaea stellata Wild
arrow1.gif (56 bytes) วงศ์ : Nympheaceae
arrow1.gif (56 bytes) ชื่ออื่น ๆ : บัวเผื่อน
ข้อมูลทั่วไปและประวัติ
arrow1.gif (56 bytes) บัวเผื่อนเป็นไม้ในกลุ่มอุบลชาติ คือ บัวที่มีใบลอยปริ่มน้ำ นิยมปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับในอ่างหรือสระน้ำ มีดอกสวยงามคล้ายบัวผันแต่มีขนาดเล็กกว่า
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
arrow1.gif (56 bytes) บัวเผื่อนเป็นไม้น้ำและไม้ล้มลุกหลายฤดู ใบเป็นใบเดี่ยว รียงเป็นวงสลับถี่ แผ่นใบรูปรีหรือกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 10-20 ซม. โคนใบเว้าลึก ขอบใบเรียบ ผิวเป็นคลื่น ใบลอยปริ่มน้ำใบด้านบนเป็นสีเขียวมัน ด้านล่างเป็นสีม่วงอมน้ำเงิน ดอกเป็นดอกเดี่ยวสีครามอ่อน แล้วเปลี่ยนเป็นสีขาวในวันสุดท้าย ดอกชูเหนือน้ำเล็กน้อย กลีบดอก 8-16 กลีบ เรียงซ้อน 2-3 ชั้น เมื่อดอกบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5-10 ซม. เริ่มบานตอนสายและหุบตอนบ่าย ออกดอกตลอดปี
การขยายพันธุ์
arrow1.gif (56 bytes) เมล็ด
arrow1.gif (56 bytes) โดยไหลซึ่งแตกจากเหง้าใต้ดินปลูกลงในบ่อในโคลนเลนโดยตรง หรือปลูกในกระถางทรงแบนให้ตั้งตัวก่อน แล้วนำไปวางในโคลนเลนให้แตกไหลออกมาและเจริญต่อไป
การปลูกและการดูแลรักษา
arrow1.gif (56 bytes) บัวเผื่อนเป็นบัวพื้นเมืองที่มีความทนทานปลูกเลี้ยงง่าย
arrow1.gif (56 bytes) สามารถทนแดดทนฝนได้ดี


 ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ดอกบัวผัน
บัวผัน, นิลุบล, นิลอุบล
arrow1.gif (56 bytes) ชื่อวิทยาศาสตร์ : Nymphaea cyanea Roxb.
arrow1.gif (56 bytes) วงศ์ : Nympheaceae
arrow1.gif (56 bytes) ชื่ออื่น ๆ : บัวผัน, นิลุบล, นิลอุบล
ข้อมูลทั่วไปและประวัติ
arrow1.gif (56 bytes) บัวผันเป็นไม้ในกลุ่มอุบลชาติ คือ บัวที่มีใบลอยปริ่มน้ำ นิยมปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับในอ่างหรือสระน้ำ มีดอกสวยงามและกลิ่นหอม
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
arrow1.gif (56 bytes) บัวผันเป็นไม้น้ำและไม้ล้มลุกหลายฤดู ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงเป็นวงสลับถี่ ใบรูปรีหรือค่อนข้างกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 20-30 ซม. โคนใบเว้าลึก ขอบใบเรียบ ผิวใบเป็นคลื่น ใบลอยปริ่มน้ำ ดอกเป็นดอกเดี่ยวมีหลายสี เช่น สีคราม ฟ้าอ่อน ม่วง ดอกชูเหนือน้ำเล็กน้อย ก้านดอกมีสีม่วงแดง เมื่อดอกบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 15-20 ซม. ดอกบานกลางวัน และมีกลิ่นหอมและขนาดใหญ่กว่าบัวเผื่อน เมื่อบานหลาย ๆ วันสีจะจางลง
การขยายพันธุ์
arrow1.gif (56 bytes) โดยไหลซึ่งแตกจากเหง้าใต้ดินปลูกลงในบ่อในโคลนเลนโดยตรงหรือปลูกใน กระถางทรงแบนให้ตั้งตัวก่อนแล้วนำไป วางในโคลนเลนให้แตกไหลออกมาและเจริญต่อไป
การปลูกและการดูแลรักษา
arrow1.gif (56 bytes) บัวผันเป็นบัวพื้นเมืองที่มีความทนทานปลูกเลี้ยงง่าย
arrow1.gif (56 bytes) สามารถทนแดดทนฝนได้ดี



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น